จุ ล ส า ร สถาปัตยกรรมศาสตร์ มข.

Number 9 August-September / 2000

 

 

A P P R O A C H

สวัสดีครับ…ท่านสมาชิกทุกท่าน…จะเห็นว่ารูปแบบจุลสารเปลี่ยนแปลงไปน่ะครับ…จากเดิมมีบรรณาธิการเป็นพี่เล็กบู๊ตู้หนวด มาเป็นทีมงานที่ขอนแก่นครับ…มีคำแนะนำประการใดแจ้งมาใด้ทั้งที่ ตู้ปณ.69 มหาวิทยาลัยขอนแก่น 40002 หรือจะไปฝากไว้ที่ mouthboard ก็ได้ครับตามแต่สะดวก

C O N T E X T

ข่าวแรก…ออป๋า รศ.ดร.วิโรฒ ศรีสุโร จะเปิดนิทรรศการภาพถ่ายครับ เบิ่งอีสานผ่านเลนส์ สามสิบกว่าปีแห่งการเดินทางบนที่ราบสูง…ที่หอศิลปวัฒนธรรม ม.ขอนแก่น…เริ่มวันที่ 8 กันยายน 2543 เปิดงานเวลา 16:30 น.ครับ…

ข่าวสอง…การเรียนแบบ cross university และงาน workshop ร่วมระหว่างนักศึกษามอขอนแก่นและมอสารคาม ปี 4 …ที่ คุณยอดเยี่ยม เทพทรานนท์ เป็นอาจารย์พิเศษ…แม้นผลงานการออกแบบออกมาจะไม่เป็นที่น่าพึงใจ แต่เป้าประสงค์ที่ต้องการสร้างจิตวิญญาณร่วมระหว่างนักศึกษาต่างสถาบัน เป็นไปด้วยดีมากๆครับ…ขอขอบคุณ adviser ทุกท่าน ทอมมี่ ดุก ตั้ว เปิ้ล ม่อ ทาน จวบ ปิง คิทตี้ กิ้ต โจ้ ดอน ชีกวา หมู ทิพย์ เหิร เพ้ง…ขอขอบคุณ jurer ทุกท่านด้วยครับ ปู่ เดือน พิม อ้าย บอล แมน ต้า เหน่ง…และสุดท้ายขอขอบคุณ "อ.ย." ที่สร้างโอกาสครับ…

งานวันไหว้ครู…หุหุหุ…รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกับท่านประธานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไป…(ม่)…ดีที่มีคุณปิยะ บินมาจากกรุงเทพฯ มาร่วมงานวันไหว้ครู และร่วมศีลจุ่ม…บ่นพึมพำว่ามาทุกปี มีอยู่คนเดียว…หุหุหุ…(ประทานอภัยครับ)…ส่วนพวกซอฟแวร์กะหนังสือ ที่ฝากมาทาง อ.ฝ้าย ก็ได้มอบให้คณะฯ ไปแล้ว อย่างไม่มีพิธีการใดๆ และไม่ได้ชักรูปด้วย…แหะแหะแหะ

 

E V E N T

ข่าวคราว…สำหรับโลวเทคทั้งหลาย เวปไซท์สิดเก่า นอกจากจะปรับปรุงเพิ่มเติม เดิมมี mouthboard แล้ว ตอนนี้มี chatroom เพิ่มแล้วครับ…ขอขอบคุณท่านเวปมาสเตอร์คุณโจ้ รุ่นที่หก และกำลังมีเอ๋ รุ่นที่แปด มาร่วมด้วยช่วยกันยำครับ…
เข้าไปอ่านได้ที่ http://www.thai.net/archkku ครับ

มีพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2543 กับกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ.2543) ออกมาใหม่ครับ มีหลายอย่างที่สำคัญๆเปลี่ยนแปลง ใครอยากได้ นอกจากไปดาวน์โหลดได้จากเวปไซท์ของอาษาแล้ว ยังสามารถไปขอได้ที่สมาคมฯด้วย หรือหากอยากได้จากชมรมฯ ส่งข้อความมาบอกด้วยแล้วกัน จะได้ส่งไปให้

สำหรับผู้อยากหัดทำโฮมเพจ มีเอกสารการเขียนภาษา html ด้วยหลายหน้า อยากได้ให้เขียนบอกมาด้วยแล้วกันเน๊อะ…

ข่าวคาวคาว…สำหรับผู้ที่ติดใจสงสัยใคร่รู้ว่า สาวในเรื่องของพี่ม่อ ในจุลสารฉบับก่อนเป็นใคร เรื่องราวจะเป็นอย่างไร…ต้องติดตามต่อไปครับ…ฉบับนี้เขียนไม่ทัน…แหะแหะแหะ


 

 

"…งานมุฑิตาจิต อ.วิโรฒ ศรีสุโร วัน ศุกร์ ที่ 29 กันยายน 2543…"


  

 

ไม่อยากโกหกเลยว่าน้องสี่คนนี้อยู่ที่คณะฯเรา


 

ต๊าย! ไม่ยักรู้ว่าเธอไม่ชอบ mayongchit@yahoo.com

เธอเกลียดใช่ไหมเวลามีคนมาว่า ว่างานที่เธอออกแบบน่ะ ไม่ได้เรื่อง เฝ้าคิดว่า "นี่ฉันก็ตั้งใจสุดยอดของฉันแล้วนะเนี่ย...แหม! แล้วงานหล่อนน่ะดีแค่ไหนกันยะ" เสร็จแล้วก็เปรียบเทียบความเป็นตัวเองกับความเป็นคนอื่น "เรื่องนี้ฉันเจ๋งสุดใครอย่าได้แหยม ... เรื่องนั้นฉันไม่ค่อยดีนักหรอกแต่ดีกว่าเธอนะ ขอบอก! .... ส่วนเรื่องโน้นฉันยอมรับว่าเธอเหนือกว่า ก็ยีนส์ทางพ่อทางแม่ฉันไม่ได้เด่นมาทางนั้นเหมือนยีนส์ทางบ้านเธอนี่" คิดได้ดังนี้แล้วก็รู้สึกสบายใจเป็นปลิดทิ้งใช่ไหม .... นั่นแหละ เหมือนฉันเลย!?

เวลาเห็นอาคารหลังโปรด เธอนั้นเฝ้าชื่นชม อาคารนั้นดูดีมากๆในสายตาเธอ ข้อเสียน่ะเหรอ โอ๊ย!ขี้ประติ๋ว แต่พอได้ไปสัมผัสอาคารหลังที่ไม่ชอบสิ อะไรๆLOOK CHEAP ไปหมดในสายตา HI-SO ของเธอ ไอ้โน่นก็ไม่ได้ไอ้นี่ก็ไม่เหมาะ บางอย่างเอาทิ้งไปซะจะดีกว่า ซื้อมาทำไมเปลืองซะ บางอย่างเธอว่างกจริง ทำไมไม่ยอมเสียเงินซื้อ พอใครมาชื่นชมอาคารที่เธอไม่ชอบนี่อย่างสุดตัว เธอจะรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นตะหงิดๆอยู่ไปนานๆจะลามไปที่ปากทำให้เกิดอาการคัน แต่ลองใครมาว่างานที่เธอชอบสิ "โธ่เอ้ย! ฉันไม่อยากจะคุยกับพวกตาไม่ถึง" ใช่ฉันก็อยากพูดอย่างนั้นเหมือนกัน

ใครๆต่างก็ว่าเธอ (ความจริงก็ว่าฉันด้วยแหละ แต่ฉันไม่รับ เพราะ ฉันรับไม่ได้) เป็นพวกโลกแคบ มองทุกอย่างจากตัวเองเป็นศูนย์กลาง ปิดรับมุมมองอื่นๆที่เธอว่ามันไม่ใช่แนวของเธอ ฉันรู้เธอไม่ชอบหรอก ฉันก็ไม่ชอบ เพราะมันไม่ใช่ ก็เธอถนัดของเธอแบบนี้ชอบมาอย่างนั้น อยู่ๆจะมาเปลี่ยนแนว ใครๆก็หาว่าเธอเป็นพวกเหลวไหลใจรวนเรสิ มันลำบากด้วยไม่ใช่อะไร หรือจะให้เธอเปลี่ยนไปคิดให้ทุกอย่างเป็นกลาง ไม่มีพวกไม่มีลบ อันนี้มันก็เกินไป มันจะเป็นช่องทางให้สิ่งไม่ดีๆที่ไม่ดีแบบบริสุทธิ์เลยน่ะนะ เกิดขึ้นได้ง่าย เหมือนช่องบางช่องในกฎหมายไง

แต่อันนี้ความรู้ใหม่นะ ฉันไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าเธอไม่ชอบที่จะเผชิญหน้ากับความเด่นบางความเด่นที่สำคัญต่อเธอมากแต่สำหรับเธอแล้วมัน"เด่นน้อยไปหน่อย" ทั้งๆที่ทั้งเธอและฉันต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่เธอพูดมาเพื่อปฎิเสธนั้นมันเป็นเพียงแค่คำปลอบใจตัวเอง ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี แล้วยังรู้อีกด้วยว่าเธอสามารถจะเผชิญหน้ากับมันด้วยทางใดทางหนึ่ง ระหว่าง การยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า "เออ! ฉันไม่เจ๋ง ... รู้แล้วแต่ ฉันไม่อึดขนาดนั้น"แล้วก็อยู่กับมันไปจนตาย หรือ ยอมรับอย่างไม่ค่อยอยากจะยอมรับ เพราะคิดว่า "ฉันเกิดมาเพื่อเจ๋ง แต่ไม่ใช่ตอนนี้(เฟ้ย)"แล้วก็อยู่เพื่อทำให้มันเจ๋งขึ้นซักตอน พูดๆมานี่ฉันยังไม่ได้เลือกเลยล่ะเพราะรอเธอเลือกก่อน เผื่อว่าเห็นตรงกันจะได้ชวนกันไปไหนต่อไหนหรือเผื่อเห็นไม่ตรงกันฉันจะได้ไปชวนคนอื่น ฉันน่ะหลายใจนะ อันนี้เธอรู้หรือยัง?

ฉันเองหล่ะ "มะยงชิด"

ที่เธอเรียกสั้นๆว่า "นังยง" ไง

ไม่อยากจะเชื่อ!? “นังยง” เธอ IN LOVE

เน้น เรื่องรัก กับ เรื่องหลง มากหน่อยเท่านั้น ที่จริงฉันก็ไม่อยากจะเล่าหรอกแต่มันอดไม่ได้จริงๆ แต่เพื่อความตื่นเต้นฉันจะไม่บอกหมดหรอก ขอใช้อักษรย่อแทนชื่อดีกว่า อย่างที่ เอี๊ยดดด! เขาใช้ในไทยรํฐไง ดูน่าติดตามดีไหม? พร้อมหรือยังล่ะเรื่องมันมีอยู่ว่าอย่างนี้นะ

ตอนนั้นฉันจากบ้านไป เป็นเวลา5ปี เพื่อไปในที่ๆอย่างน้อยฉันก็หาทางติดต่อกับสุดที่รักของฉันได้ยากเต็มที คิดดูสิเธอ ฉันต้องทิ้ง10หนุ่มหล่อใน LIST ที่จัดว่าเป็นหนุ่มยอดฮิตติดลมบนของวงการจอแก้วเมืองไทย เห็นไหมว่าน่าเศร้าขนาดไหน ฉันต้องจากมาเรียนไม่มีเวลาติดตามพวกเขาอีกแล้ว จริงๆจะเรียกว่าไม่มีทีวีไว้ติดตามก็ไม่ผิดหรอก ดังนั้น ทุกทีที่ฉันเจอพวกเขาที่ฉันทิ้งมาฉันจะกรี๊ดไม่สนใคร ถึงเพื่อนๆมันจะหมั่นไส้ก็ตาม

ไม่อยากจะบอกว่าโลกสีชมพูของฉัน ไม่มีวันจางหายหลังจากที่ฉันเริ่มทำใจได้กับการที่ไม่มีทีวีเป็นของตัวเอง ฉันก็เริ่มทำให้ภาพที่เห็นจริงเป็นจอแก้วไปซะเลย (จะเอาไปใช้บ้างก็ไม่ว่าหรอกนะวิธีนี้ ฉันก็ได้มาจากเพื่อนๆพี่ๆที่คณะเหมือนกัน หลังจากติดตามผลงานพี่ป.กับพี่ต.(นามสมมติ) ที่คณะ มาระยะเวลาหนึ่ง ก็ได้ไปติดตามพี่JNกับพี่อ.ช.(นามสมมติ) ที่คณะอื่น รายหลังนี่มีการแย่ชิงกันด้วย พูดแล้วอยากจะบ้า ตอนหลังมารู้ตัวว่าทำผิดไปมหันต์ หลังจากที่ ข่าวคราววงการจอแก้วแว่วมาว่า พี่ต.แต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว พี่ว.มีแฟนแล้วอย่างรักจริงหวังแต่ง และพี่คนอื่นๆก็ห่างหายจากวงการไปเลย นี่เป็นเพราะฉันไม่มีเวลาให้แท้ๆ โธ่!

หลังจากสำนึกผิดฉันก็เริ่มกลับมาสนใจอย่างจริงจัง ดูMI2คราวที่แล้วฉันไม่ได้สนใจเนื้อหาเพราะใครๆต่างพากันวิจารณ์ว่า “ไม่ได้” รู้แต่ว่าฉันชอบ JW มากเลยที่มักจะ โคลส หน้า พี่ TC เขาอย่างนั้น นอกจากนี้ ก็เริ่มได้ LIST ใหม่ ตอนนี้ก็ติดตาม พี่ ว. พี่ พ. น้องฮ …. ฯลฯ เก่ามั่งใหม่มั่ง เพื่อนเคยแสดงตัวว่าชอบดาราหยิงคนนี้คนนั้น แต่ฉัน “อี๋” มันเลยถามว่า ฉันชอบใครมั่งไหมเนี่ย ดาราน่ะ

เธอก็รู้เพราะฉันบอกไปแล้วว่าชอบเยอะเลย จริงๆฉันอยากจะบอกว่าดาราหญิงที่ฉันชอบก็มีเหมือนกันนะ แต่ฉันชอบพวกที่ยังไม่มีแฟน หรือมีแฟนไม่หล่อน่ะ ที่ฉันอี๋ๆน่ะเธอน่าจะเห็นพ้องนะ ว่าคนอะไร(ฟะ)หน้าตาดีมีชื่อเสียงแล้วยังไม่พอ ยังจะมีแฟนหล่ออีก เห็นแก่ตัวชะมัด แบ่งๆกันมั่งก็ไม่ได้ เนี่ยฉันยังอกหักไม่หาย ที่พี่ น. แต่งกะ ยัย ก. อย่างชื่นมื่น หนอย ฉันรู้จักพี่ น. ก่อนที่ยัย ก. จะรู้จักอีกนะยะ ไม่อยากจะ SAID!

คำเตือน : เป็นความสามารถเฉพาะตัวห้ามลอกเลียนแบบ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้ใหญ่กรุณาชี้แนะลูกหลาน กรุณาอย่าคิดมากเพราะเป็นเรื่องกุขึ้นทั้งเพไม่มีอะไรให้คิด


ทองดี

วันหนึ่ง (ก็พอแล้ว) ในกรุงเทพฯ

บ้านนอก (ขี้หงุดหงิด) เข้ากรุง

หนนี้ได้กลับมา กทม.

อันเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างในประเทศนี้อีกครั้ง

เลือกที่จะอยู่ในนี้แค่วันเดียว ด้วยเหตุผลหลัก

"เบื่อรถติด"

ไม่อยากเสียเวลาบนรถนานๆ....... โดยเฉพาะบนรถเมล์

ขสมก. (ปรับอากาศก็เถอะ)

เช้า นั่ง เรือ คลองแสนแสบ จากบางกะปิไปประตูน้ำ

45 นาที.....

บรรยากาศดีๆของ บ้านริมคลองยังพอมีเหลืออยู่บ้าง> > ถึงจะเหม็น "น้ำเน่า"

บ้าง ก็ยังดีกว่าละคร "น้ำเน่า"> > ของทีวีหลายๆช่องและอากาศบนถนนอยู่มาก

ถ้าลองนั่งรถเมล์คงใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง....

(ไม่ได้ล้อเล่นนะ)

ทำธุระเสร็จเร็วกว่าที่คิดเลยเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวๆนั้น

(ดัชนีวัดความเจริญทางวัตถุ) เฉียดไปดู center point

อันเลื่องชื่อ

เด็กนักเรียนชั้นประถมใส่ชุดผ้าน้อยๆสองชิ้น

แต่งหน้าเข้ม สักแขน

เจาะสะดือ ตามแฟชั่นนิยม.... สูบบุหรี่

ใครเป็นผู้ปกครอง(วะ)

นึกสะเทือนใจอนาคตของชาติ

(สะเทือนใจที่ตัวเองแก่เกินไปด้วย)

อยากลองของใหม่ เลยนั่งรถไฟฟ้า "sky train"

รำพัน

แค่ชื่อก็หรูแล้ว

จากสยามไปหมอชิตกลับ BANHAUS 30 บาท

กับเวลาประมาณยี่สิบนาทีแห่งความสุข...สุดยอด

วิวดีด้วย

เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เพิ่มความสุขให้กับชิวิตได้เยอะเลย

ที่จริงน่าจะมีคนใช้เยอะๆ

ไหนๆก็สร้างเสาน่าเกลียดเต็มเมืองไปหมดแล้ว

ทุบทิ้งก็ไม่ได้ซะด้วยสิ......

กรุงเทพยังรถติดเหมือนเดิม.....

แท็กซี่ก็มากกว่าเดิม.....ยิ่งติดเข้าไปอีก bus

lane คงไม่ต้องพูดถึง

ตอนนี้มีรถเมล์เฉพาะ นักเรียน นักท่องเที่ยว

ผู้หญิง(สุภาพสตรี)

และรถเมล์(ผู้มี)วัฒนธรรม.....อะไรอีกหนอ

แต่ที่แน่ๆคนกทม.มีทางออกอยู่แล้ว

ทั้งน่ารักแบบนี้หรือบางทีก็น่าหงุดหงิดบ้าง

ก็คงปรับตัวกันไปเรื่อยๆ....

คนกทม....คนไทย เก่งอยู่แล้ว

อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความหวังกับระบบขนส่งมวลชน--รถไฟทั้งใต้ดินและบนฟ้า....ทางเลือกอีกแบบ

ถึงจะแพงไปนิดแต่เศรษฐีบ้านนอกอย่างเราจ่ายได้อยู่แล้ว

(เพราะไม่ได้อยู่ที่นี่ (สงสัยคงไม่ฮาแน่....ขออภัย))

แต่ใจจริงอยากให้ลองขุดคลองมากกว่า เย็น

ชุ่มฉ่ำใจกว่ากันเยอะ

นี่แค่วันเดียวนะเนี่ย.........

 


Date: Wed, 6 Sep 2000 09:57:57 -0700 (PDT)

From: sureepan supansomboon <sureeprang@yahoo.com>

Subject: พี่ม่ ถ้าไม่เอาเรื่องนี้ลง ก็อย่าเมาท์ปรางนะ ขอร้อง!

To: tawat30@yahoo.com

วันนั้น : อารมณ์นี้

พอกันที กับทุกสิ่ง

ยิ่งทำลาย ความอดทน

คิดจะพยายาม อยู่หลายหน

แต่เหลือทนเหลืออด หมดจริงๆ

ยิ่งคิด ยิ่งฟุ้งซ่าน

อยากกลับบ้าน เป็นอย่างยิ่ง

แต่บ้าน ก็ไกลจริง

คงปล่อยทุกสิ่ง ให้เป็นไป

ทำยังไง ดีล่ะทีนี้

ถึงวันที่ ต้องส่งงาน

ถ้าไม่ทำ คะแนนจะประจาน

โธ่! อาจารย์ ขี้เกียจขึ้นแปลน

สิบราตรี เคยเนิ่นนาน

ตอนนี้กลับสั้น เพียงวินาที

ใครก็ได้ แถวนี้ มาช่วยที

นาทีนี้ ยังไม่มีอะไร

วันนี้ : อารมณ์ไหน

ขอที เถอะทุกสิ่ง

ที่ยิ่งทำ ให้อดทน

เดินไปเดินมา อยู่หลายหน

ไม่อยากจะบ่น เลยจริงๆ

ยิ่งคิด ยิ่งงุ่นง่าน

อยากออกจากบ้าน เป็นอย่างยิ่ง

แต่น้ำมัน ก็แพงจริง

ต้องทำตัวนิ่ง อยู่ต่อไป

ทำยังไงดี ล่ะทีนี้

ถึงวันที่ ต้องทำงาน

ถ้าไม่ทำ การเงินจะประจาน

โอ้! งานเอ๋ยงาน หาง่ายซะดีๆ

วินาที เคยสั้นสุด

ตอนนี้คล้ายหยุด ไปเฉยๆ

ไม่อยากบอก กับใครเลย

ว่าฉันเคย ไม่มีเวลา


" … ธ ร ร ม ย่ อ ม อ ยู่ เ ห นื อ อ ธ ร ร ม … "

กาลนั้น ดอกทานตะวันหุบหน้าหลังจาอิ่มเอมแสงสุริยาทางทิศเหนือ แสงจันทราก็ได้สาดแสงส่องไปทั่วป่าหิมพานต์ ขณะนั้นเวสีน้อยและคนธรรพ์กำลังเสพน้ำทิพย์กันอยู่ ได้มีหมู่นางฟ้ากำลังเหิรมาเพื่อจะเสพน้ำทิพย์ ในป่าเดียวกัน เวสีน้อยที่กำลังจะจุติก็ได้รู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก ด้วยจิตต้องในรูปทิพย์ของนางฟ้าน้อย ซึ่งกำลังเสพน้ำทิพย์อยู่ที่บ่อชายป่า…แลด้วยศรของกามเทพหรือกามเภทเกินต้านทานก็ไม่รู้ได้…เวสีน้อยร่ายมนต์ตราเสกสารไปให้นางฟ้าน้อย…และเมื่อได้พิศสารทิพย์นั้นแล้ว นางฟ้าน้อยก็ได้แต่ยิ้มทำกริยาใดไม่ค่อยถูก ด้วยไม่มีทางเลือก…

"…หากไม่อยากรู้จัก โปรดนำสารนี้ มาคืนด้วย…"

เวสีน้อยและคนธรรพ์ได้นัดพบปะนางฟ้าอยู่เป็นประจำ ณ บ่อน้ำที่ชายป่าหิมพานต์ นั่นเอง…และในบางคราก็ได้แวะเยือนไปยังขอบเขตดินแดนแห่งสวรรค์ของนางฟ้า…และแล้วกรรมเก่าที่พอมี ก็ตามทัน…

ผีห่า ผู้หมายปองนางฟ้าอยู่เช่นกัน ด้วยเคยเห็นนางเหิรฟ้าผ่านมาเสพน้ำทิพย์อยู่บ่อยๆ เคยส่งจิตหมายสู่ปอง แต่นางฟ้าไม่มีใจให้แก่ผีห่า ด้วยเห็นว่ามหันตภัยจะกร้ำกรายแดนสวรรค์ และได้ปิดจิตไม่รับสารจากผีห่า แต่ผีห่าก็ไม่ลดละเลิก จนได้เห็นภาพบาดตาบาดใจ…

ผีห่าระดมเหล่าสรรพสัตว์จากแดนโลกันต์ หมายปองร้ายเวสีน้อย ณ ประตูแดนสวรรค์นั่นเอง…ด้วยจิตที่หาญกล้า แต่กรรมเก่าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง …เวสีน้อยเสียที สดุดเม็ดทรายบนยอดหญ้า ล้มลง… ผีห่าส่งพลังมหาบาทหมายพิชิต แต่กองทัพกระดูกของวาสีน้อยกรีธาทัพขึ้นมาป้องกันได้ทัน …ผีห่านึกขึ้นได้ ถือคติ คนล้มไม่ข้าม จึงได้จรจากไป ทิ้งไว้แต่คำขู่อาฆาตที่หายไปพร้อมสายลม…

เหมือนสวรรค์บันดาลให้มีอโรคยาศาลอยู่ใกล้ๆ เวสีน้อยได้ไปพักรักษากาย ด้วยแม้นว่ากองทัพกระดูกนั้นจะป้องกันพลังมหาบาทของผีห่าได้ แต่ก็สร้างความสั่นสะเทือนแก่ผืนพิภพ จนกระดูกแขนนั้นต้องร้าวราน…นางฟ้ายิ่งเห็นใจวาสีน้อยยิ่งขึ้น มาเยื่ยมเยือนยังที่พักอาศัยของวาสีน้อย…ซึ่งเป็นแหล่งที่พำนักของวาสีน้อยทั้งหลายที่รอจุติอยู่ ในอาณาบริเวนของโลกุตรธรรมมหาปราสาท

และด้วยจิตอาฆาตของผีห่า จึงได้ระดมเหล่าสรรพสัตว์จากโลกันต์ มา ณ โลกุตรธรรมมหาปราสาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแดนสวรรค์ แต่ด้วยจิตอันเป็นมหามิตร ผลจากการบำเพ็ญเพียรของวาสีน้อย และด้วยอยู่ในอาณาเขตแห่งสวรรค์ ได้ทำให้ผีห่าใจอ่อนโอนและศิโรราบแก่อุเบกขาบารมี ยอมราศึกยกทัพกลับไปสู่แดนดินของตนเอง

"…ธรรมย่อมอยู่เหนืออธรรม…"

แล้วในจันทราสุดท้ายก่อนการเดินทางไปโปรดสัตว์ยังดินแดนมาตุภูมิของนางฟ้า…มหาเทพซึ่งสดับรับรู้ด้วยตาทิพย์มาตลอดในเหตุกรรมของนางฟ้านับแต่กาลก่อน ก็ได้สำแดงตัว ณ ป่าหิมพานต์…เพ่งจิต ร่ายมหาเวทย์ แลโปรยมหาเสน่ห์…

"…ธรรมย่อมอยู่เหนืออธรรม…"


ม่ เ ม้ า ธ์ แ ห ล ก

ข่าวคาวแรก…[^_^] คุณตี้กะคุณแจงจะแต่งงานกันปลายปีนี้แล้ว ช่วงนี้กำลังแต่งเรือนกันอยู่ หลังจากให้เพื่อนๆและน้องๆเฝ้ารอลุ้นเวลากันมาตั้งหลายปี…แล้วได้ข่าวจากอเมริกาว่า คุณดอนตอนนี้บวชอยู่ที่… เอ่อ จังหวัดหนึ่งแถวภาคใต้ครับ แหะแหะแหะ จำไม่ได้หน่ะ…หึหึหึ ในเวอร์คชอป คุณคิตตี้ดังมากครับ เพียงแค่แกลุกขึ้นยืนก็เรียกเสียงฮึมฮัมจากนักศึกษาทั้งสองมหาวิทยาลัยได้แล้ว เด็กๆคงจะต๊ะล๊ะต๊ะลึงในพงขนหนาที่ซ่อนเหลี่ยมซ่อนคม แต่ที่มันส์กว่าเห็นจะเป็นเรื่องที่แกเปรยกะนักศึกษาเรื่องปัญหาในชีวิต แล้วเขาก็เอามาเขียนในรายงาน "adviser ของฉัน" เรื่องญิงๆ ที่แกหนักใจว่าไม่เคยมีเลย หึหึหึ บางทีคุณยอดเยี่ยมอาจจะรวบรวมส่งโรงพิมพ์น่ะครับ 55555…ส่วนคุณกิต ก็แว่วว่าเกือบจะโดนระเบิดที่หลังหอครับ โชคดีว่าถ่านไฟเก่าไม่ติด ไม่งั้นสายชนวนได้ไหม้แน่…เอ่อ คุณโจ้ได้งานที่ภูเก็ตแล้วครับ จากการประกาศข่าวในเม้าธ์บอร์ดของชมรมสิดเก่า โดยศิษย์เก่าที่ทำงานที่ภูเก็ต สายสัมพันธ์ไม่ห่างหาย แม้นห่างกาย เหอเหอเหอ…เอ่อ คุณดอนจะแต่งงานปลายปีนี้น่ะครับ ตอนมาร่วมเวอร์คชอป ก็ว่าจะไปซ้อมการแต่งงานในโบสถ์ด้วย…อืม คุณเอตกจากงานที่ MIWAN (บ. ไม่ว่าง จก.) แล้ว ตอนนี้กำลังเลือกงานที่เสนอมาอยู่…หึหึหึ คุณปู่มีแฟนคราวหลานแล้วน่ะครับ (เอ้อ… มีตำนานก่อนความรักจะเริ่มต้นด้วย หึหึหึ ติดตามได้ในจุลสารฯครับ) ขอแสดงความยินดีด้วยกะคุณปู่ ต่อจากคุณตึ๋งพบรักที่บอขอสอ 55555…ส่วนคุณพรอาจจะได้ข่าวเร็วๆนี้ (ลุ้นกันไปเหอะ) ส่วนคุณ"แคท"ไม่ต้องลุ้น หึหึหึ…คุณโต๊ด หึหึ แกมาชวนผมกินเบียร์ แล้วก็พูดเรื่องความเร็วของสมอง เปรียบสมองที่เร็วก็เหมือนเพนเที่ยมทรี ส่วนสมองที่ช้าก็เหมือนสามแปดหก การคิดคำนวนย่อมให้ผลงานออกมาเร็วช้าแตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้นคนที่หัวไว คงคิดไปถึงโลกหน้าแล้ว หึหึ คุณพิมแกไวกว่า ไปสีสายเดี่ยวพิณนางฟ้าอยู่ในป่าหิมพานต์แล้วครับ หุหุหุ ส่วนคุณหมู ช่วงนี้ดวงขึ้นเรื่อง "เสียงโป๊" ครับ (ไม่ใช่ภาพโป๊ รูปโป๊ หรือหนังโป๊) ได้ยินตลอด…อืม กะรุ่นเจ็ด ได้ข่าวว่า ทาวน์เฮาส์ที่หลังมอ หลังบ้านนั้น"น่าอยู่"ครับ ยิ่งช่วงเวลาที่ฝนพรำๆ มีคนได้ยินเสียง"คราง"+แล้วเงียบ+แล้วเสียงอาบน้ำ (คุณหมูเป็นผู้ค้นพบโดยดวง)…หึหึหึ คุณเอ๋แปดแม้นจะไปเป็นเวปดีไซน์เนอร์ที่กรุงเทพแล้ว ก็ยังกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ ทั้งมาหาข่าวและมาปล่อยข่าว เห็นว่าเป็น"เพื่อน"กะคนทำงานแบงค์ครับ หวังเพื่อนของคนทำงานแบงค์ ขอบอก 55555…เอ่อ คุณเบิ้มรุ่นเดียวกัน ออกจากงานที่หล่มศักดิ์แล้วครับ ทนดูลูกสาวเจ้านายสายเดี่ยวขอบอกจนแขนล่ำขาดน้ำ หึหึหึ…เอ่อ พึ่งรู้ครับ ว่ามีรุ่นน้องพวกเราในคณะฯ เป็นฝาแฝด ที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรในการเป็นสลับฝาสสลับตัวเลย เพราะเจ้าคนที่เรียนอยู่ที่คณะฯอ้วนท้วมสมบูรณ์ ส่วนอีกคนนั้น"ผอม" ดูยังไงอย่างไรก็ไม่เป็นฝาแฝด…เฮ้อ…เอ่อ คนธรรพ์นั้นก็ไปกะนางฟ้าอีกตนหนึ่ง ครับ…55555…


ข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น และชื่อบุคคล สถานที่ เป็นแต่เพียงการสมมติ โปรดใช้วิจารญาณในการเสพ คำเตือน บทความนี้อาจทำให้ความสามารถในการขับถ่ายลดลง

เรื่องโดย : จำนาน ไม่เคยลืม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว …. ณ ดินแดนอันไกลโพ้ดพี้ …….

ในเดือนนี้มี ฒ. ผู้เฒ่าวัยชราอาวุโสหลายๆ ท่าน ต้องเกษียรการทำงานด้วยเงื่อนไขของทางรัฐ แต่บางคนก็ยังคงไม่หยุด ยังคงมุ่งหน้าดันทุรังอะไรต่อมิอะไรต่อไป ในเขาเหล่าข้าพเจ้ารู้จักอยู่ผู้หนึ่ง วันนี้ข้าพเจ้าอยากเขียนอะไรถึงเขาผู้นั้น ผู้ที่ข้าพเจ้าบางทีก็ยอมรับ บางทีก็ต่อต้าน ก่นด่าอยู่เนืองๆ เพราะเขามีเรื่องให้ต้องกล่าวถึงอยู่ในวงสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับเพื่อนฝูงอยู่ประจำ (เขาชอบทำตัวเป็นข่าว เหมือนกับดารา Hollywood ดังๆ ดังวิสัยที่เราๆ ท่านท่านรู้กันดี) โอกาสพิเศษเพื่อการ say good bye ครั้งนี้ ก็ยังคงอดที่จะเล่าเรื่องราวอันโลดโผน ตลกโปกฮา สาละวันของเขามิได้ ให้ตายจิ รอบิ๊น!!

ก่อนจะว่ากันยาวๆ ต่อไป อยากจะตกลงคำศัพท์ที่จะใช้เฉพาะในบทความนี้เสียสัก คำสองคำก่อน เพื่อความเข้าใจร่วมกันที่ง่ายขึ้น คือคำว่า “ในบริบท” ใช้ในความหมายที่ว่า เวลาเราพูดถึงเรื่องอะไร เรามักจะนึกถึงอะไรที่ตามมา หรือโยงจากเรื่องที่พูดไปหาอีกเรื่องโดยที่คนอื่นมองภาพออกและเข้าใจได้ด้วย โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย เช่น ถ้าพูดถึง “ประชาธิปไตย” เราก็นึกถึง รัฐธรรมนูญ, การประท้วง, พรรคการเมือง, สมัชชาคนจน, 14 ตุลา, ป๋วย อึ้งภากรณ์, หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น และในความหมายตรงข้ามคือคำว่า “นอกบริบท” ใช้ในความหมายที่ว่าไม่อาจจะหาความต่อเนื่อง สัมพันธ์กับเรื่องที่กำลังพูดถึงได้ หรือถ้าสัมพันธ์กันก็จำเป็นต้องมีการอธิบายขยายความเป็นพิเศษ เช่น คำว่า “ประชาธิปไตย” กับคำว่า การล่มสลายของสถาบันครอบครัว, ความยากจน, คอร์รับชั่น, การแต่งงาน, รักร่วมเพศ เป็นต้น

ปรัชญาการออกแบบ แนวความคิดหลัก อืมม…จะใช้คำนี้ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ขอเต๊อะ ผมหน้าด้าน ! ! ขอใช้ในความหมายกว้างๆ ก็แล้วกันนะครับ ว่ากันว่า (แต่ไม่รู้ใครว่าขึ้นก่อน) นักออกแบบเก่งๆ มักจะมีปรัชญาแห่งการออกแบบเอาไว้ในใจ เอาไว้ตอบคำถาม เพราะมักจะมีคนถามให้ได้สิให้ตาย*า บอกด้วยเถอะว่า “คุณทำแบบนี้หมายถึงอะไร ?” “คุณทำแบบนี้ คุณมีแนวคิดยังไง” จะมาในรูปไหนก็ขอรู้ด้วยคนหน่อยเถอะ ….. รู้แล้วไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ---- ขอโทษครั้งที่ 1 ที่คิดเช่นนี้---- และจะให้ดีนะครับ “คำขวัญ” หรือ “แก่นธรรม” ของปรัชญาการออกแบบของ GREAT GREAT ก็ต้องมี แค่ 3 คำ ไม่มากว่านี้ และไม่น้อยกว่านี้ ถึงจะขลัง –เชื่อไหม ? --- เริ่มคนแรกที่ดังมานานเลยทางฝั่งตะวันตกนู้น UTILITIES, FIRMNESS & DELIGHT คาถา 3 คำนี้ชะงัดนัก ยังใช้ได้และยังมีผู้ใช้ในปัจจุบันอยู่มากเหมือนกัน หรือเมื่อเร็วๆนี้ เกือบๆ 70-80 ปีก่อนโน้น ที่ว่า LESS IS MORE ก็ใช่ย่อย...แน่ะ!!.เห็นมะ 3 คำ ขลังแค่ไหนก็ลองตรองๆ ดูเต๊อะ

ธรรมเนียมแบบเดียวกันนี้ก็มีสถาปนิกไทยผู้หนึ่งชื่ออักษรย่อ ช. เอากะเขาเหมียนกัลลล เขาก็ได้นิยามปรัชญาการออกแบบของสถาปัตยกรรมไทยเอาไว้เป็นพระสูตร 3 คำเหมือนกันว่า สงบ, เบา, ลอย (ขึ้นสู่เบื้องสูง) ก็ว่ากันไป---- แอ่น แอน แอ๊น !!! (แต่ แอ่น แอน แอ๊น 3 คำนี้ไม่ใช่นะ แต่อาจจะใช่ในอนาคตก็ได้ หุ หุ) พระเอกของเรื่อง ที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนอยู่นี้ก็เช่นกัน เขาก็มีคำขวัญ 3 คำเหมือนกัน สมถะ, บึกบึน, มีพลัง (ทันสมัยไม่เบาเลยหมอนี่ !) อาศัยคำขวัญ 3 คำนี้เขาก็โลดแล่นในยุทธจักรได้ไม่น้อยหน้าใครๆ แถมมีสานุศิษย์อีกตรึม แต่ยังหาผู้มาท้าทายซึ่งๆ หน้ายังมิได้ (ผมอะเหรอ เหอะๆ ผมยังนึกเด็ดๆ 3 คำไม่ออกอะ ขอบายๆ อิอิ) พระเอกของเราอาศัย คาถา 3 คำนี้อย่างไร วันนี้จะลองมาพลิกแพลงแถลงเปรียบ-เทียบ-แปลง-รื้อ-งานของเขาดู ให้หฤหรรษ์เสียสักครา ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว

กติกาการเล่นเกมส์ที่เสี่ยงต่อการประนามครั้งนี้ ---ขอโทษครั้งที่ 2 --- ที่นี่เป็นความเห็นเฉพาะบุคคล และข้าพเจ้าไม่ขอรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นต่อความเข้าใจถูกและเข้าใจผิด อันเนื่องมาจากโทษภัยจากบทความนี้ เฉกเช่นเดียวกันกับการวิพากษ์งานของพระเอกของเรา ข้าพเจ้าก็แยกระหว่างตัวเขากับงานว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่พูดก็ได้ (และไม่ได้หมายความว่าพอไม่เหมือนอย่างที่พูด เขาและงานเขาจะไร้ความหมาย ไม่น่ายึดถือ หรือนับถือ) ไม่เกี่ยวกัน หรือเอามาอ้างมาวัดมิได้ ---ขอโทษครั้งที่ 3 --- ด้วยอยากที่จะใส่อารมณ์ (ชีวิตชีวา จิตใจ ขวัญ วิญญาณ หรือแล้วแต่จะเรียก) ให้บทความนี้เป็นที่น่าหมั่นไส้ เป็นที่น่ารำคาญในการอ่าน และเป็นแบบแผนเฉพาะ ที่จะใช้กับการเขียนครั้งนี้ ฉะนั้น---ขอโทษครั้งที่ 4 ถ้าทนอ่านไม่ไหว ก็ขอโทษครั้งที่ 5 และควรเลิกอ่านเสีย เพราะข้างหน้าจะยิ่งกว่านี้อีก ------ แล้วจะหาว่าหล่อไม่เตือน (ฮา)

การตัดสิน—จะเปรียบเทียบ อ้างอิง และแจกแจง ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง โดยเอาอารมณ์ของข้าพเจ้าเป็นใหญ่ จะไม่พึ่งพิงหลักวิชาการใดๆ โดยเจตนา ดังนั้นผู้ปกครองโปรดพิจารณาก่อนให้บุตรหลานเข้ามาเสพบทความอัปรีย์จัญไรชิ้นนี้ RATE NC-17

ข้าพเจ้าเคยสัมผัสงานของเขา ๔ ชิ้น ด้วยกัน ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เขามีงานกระฉ่อนอื้อ (มาก?) ฉาวหลายกว่านี้นัก แต่ว่าก็ว่าเต๊อะแค่ ๔ งานก็ขี้เกียจจะ—ด่า—แล้วหล่ะครับ งาน ๓ ชิ้นชัดเจนในขนาดอาคารที่ใกล้เคียงกัน ขอพูดถึงงานที่ต่างจากพวกก่อน

  1. พระธาตุวัดศรีมงคล จ. สกลนคร : คำถามต่อประเพณีนิยม -- TRADITIONALISM ARGUMENT

    งานชิ้นนี้ถึงแม้จะไม่ใช่งานเปิดศักราช พรมแดนของท้องทุ่งแห่งการสร้างสรรค์ที่ไม่มีใครกระทำมาก่อนของเขา แต่งานชิ้นนี้ก็อาศัย คาถา 3 คำนั้นในการ generate งานขึ้นมา สมถะ, บึกบึน และมีพลัง คือหัวใจของงานนี้อย่างเห็นได้ชัด พระเอกของเราเคยปลื้ม แลหลง จึงเล่าให้พวกปากปูปากหอยเช่นข้าพเจ้าและเพื่อนๆฟังว่า “เจ้ามหาชีวิตผู้หนึ่งซึ่ง เสด็จพระราชดำเนินมาทำพิธียกยอดฉัตร (หรืออะไรนี่แหละ---ขอโทษครั้งที่ 6 ลืมอีกแล้วกรั๊บท่าน) แล้วท่านก็มีพระราชดำรัสว่า “พระธาตุองค์นี้ ดูสมถะ บึกบึน เปี่ยมพลังเหมือนชาวอีสาน”” แน่นอนครับ ไม่ต้องสังสัยเลย พระเอกของผมก็แก้มปริ ยิ้มไม่หุบ ต้องไปหาอีนู๋อีนางมาช่วย (ทำอะไร?) จึงหุบลง 555555 –แซวๆ—เท่าที่ผมไปลูบๆดู ก็สากมือจริงๆ ดังว่า กร้านมากเลย ก็วัสดุหลักที่เขาเลือกใช้คือ หินล้างนิครับ (วัสดุยอดนิยมอันหนึ่งของเขาหล่ะ) ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวอะไรกันกับ การที่อ้ายบ่าวไปหาอีสาวหล้าแก้มต่องๆ แล้วไม่ล้างมือ เพื่อให้มือสาก ให้ดูเหมือนคนทำงานหนัก สู้งานหรือเปล่า -- อันนี้มะรู้แฮะ—

    OKAY OKAY ปุ๊ ในด้าน สมถะ, บึกบึน และมีพลัง พระเอกของผมสอบผ่าน ได้สมใจดังที่เขาอ้าง ชัดเจน กรั๊บ (แต่เรายังไม่ได้พูดกันนะกรั๊บ ว่าไอ้ สมถะ, บึกบึน และมีพลัง นี่คืออีสาน หรือเปล่า เอาไว้ตอนท้ายๆ ดีกว่านะกรั๊บ) พระธาตุองค์นี้เป็นพระธาตุเหลี่ยม มีซุ้มจรนัม ประดิษฐานพระ ทั้ง 4 โดยมีซุ้ม 2 ชั้น (ดูรูปในหนังสือสิมอีสาน วัดพระธาตุศรีมงคล จ. สกลนคร น. 350) ชั้นแรกเป็นพระยืน ชั้นที่ 2 เป็นพระนั่งในซุ้ม ส่วนยอดนั้นมีลักษณะการสะบัดของเส้นโค้งบัวเหลี่ยมตามขนบของพระธาตุพนมแต่ “สะดิ้งสะเดิดโควงเควย” กว่ามากๆ และแน่นอนมีการประดับเครื่องปั้นดินเผาสีดินดำแดงอยู่ที่ข้างซุ้มพระยืนด้วย เป็นเครื่องหมายการค้า (ยี้ห้อ) โ ใ ไ หรือบางท่านที่ทันสมัยหัวสีซ้มๆ อาจจะเรียกให้เก๋ไก๋ว่า SIGNATURE ก็ได้ ของเขาหล่ะกรั๊บ (คำว่า “กรั๊บ” เวลาอ่านต้องออกเสียงให้เหมือนนักข่าวหัวใสคนหนึ่งนะกรั๊บ จึงจะได้อารมณ์นะกรั๊บ ยกกรึ๊บอีกแก้ว หมดๆๆ ก็จะอินไปอีกแบบ !!)

    ตรงๆ ชัดชัด เลยตรงนี้ได้ไหมกรั๊บ !!! ถ้าพูดถึงการสร้างพระธาตุในอีสานแล้วต้องทำให้เป็นอีสานนั้น ก็คงไม่จำเป็นต้องเถียงกันว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะนี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ในบริบท” (ถึงแม้ข้าพเจ้าว่า มันไม่เห็นจะจำเป็นตรงไหนก็ตามแต่) ขนบของพระธาตุอีสานคืออะไร มีผู้รู้สายประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม กล่าวว่า ขณะที่ขอม ไทยสยามจำลองเขาพระสุเมรุ? ขนบของพระธาตุอีสานคือการจำลองพระธาตุพนมเป็นหลัก ดังตัวอย่างพระธาตุเรณูนคร พระธาตุวัดพระพุทธบาทบัวบก เป็นอาทิ ถ้านับเส้นโค้ง “สะเดิดสะดิ้งโควงเควย” ของพระธาตุองค์นี้ เป็นขนุนของพระธาตุพนม ก็น่าจะพอเล้าโลมเข้าขนบพระธาตุอีสานแบบคาบเส้นไปได้ แต่ปัญหาหลักใหญ่คือซุ้มจรนัมทั้ง 4 ซุ้มที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น เกรงว่าจะเป็นของอิมพอร์ต มาแต่ที่อื่นกระมัง (แม้ว่าในหนังสือธาตุอีสาน ของท่านผู้นี้ จะมีการแบ่งประเภทพระธาตุอีสานที่มีซุ้มจรนัมแยกออกมาต่างหาก แต่ไม่ได้พูดถึงอิทธิพลจากภายนอกให้ชัดเจน และพระธาตุหมวดนี้ ก็รุ่นหลังเสียมากแล้วและไม่ “ในบริบท” เหมือนพระธาตุพนมซึ่งไม่มีซุ้มจรนัม) พระธาตุพนมมีซุ้มประตู 4 ด้านแต่ไม่มีพระพุทธรูป มีประติมากรรมแกะสลักอิฐนูนต่ำเป็นเรื่องตำนานอุรังคธาตุ ไม่มีกระเบื้องดินเผา อาจจะมีผู้แย้งว่า พระธาตุเชิงชุมก็มีซุ้มจรนัมทั้ง 4 ด้าน ไม่เถียงกรั๊บ แต่คนที่ตอบอย่างนี้ ต้องไม่ลืมว่า พระธาตุเชิงชุมที่สกลนครนั้น สร้างครอบปรางค์แบบขอมซึ่งมีซุ้มจรนัมทั้ง 4 ทิศ แต่พระธาตุองค์นี้ มิได้สร้างครอบปรางค์ใดๆ เด้อ เด้อ ข้าพเจ้าไม่ได้ยกเรื่องความมีในอีสานและความไม่มีในอีสานมาเป็นประเด็น แต่สิ่งที่อยากให้ทุกท่านลองทบทวนคือ ในเมื่อเราจะสร้างองค์ประกอบใหม่เพื่อทำให้พื้นที่ - space ที่ว่างที่โล่งบนผนังของพระธาตุนั้น ให้สมบูรณ์ เติมเต็ม นั้นมีอีกหลายวิธีการที่น่าจะควรได้รับการพิจารณาและน่าจะได้ทางออกที่เหมาะสมมากกว่านี้ อย่าลืมคาถา 3 ข้อของพระเอกของเราเด็ดขาด สมถะ, บึกบึน และมีพลัง การจะทำได้ดังว่า ความพอดีนั้นต้องพึงได้รับการเอาใจใส่อย่างมาก

    ท่านต้องทราบว่า พระธาตุมักจะต้องอยู่ในรูปลักษณะ 3 เหลี่ยมพีระมิด คือค่อยๆสอบ ลดชั้นเข้า จนรวมกันที่ยอดแหลมบนสุด แต่ซุ้มจรนัมนั้นคือองค์ประกอบที่มีลักษณะเป็นซุ้มคล้ายกับซุ้มหน้าต่างด้านข้างพระอุโบสถ ในแง่เทคนิคแล้ว ซุ้มจรนัมจะยื่นออกมาจากพื้นที่ที่แบนราบ เพราะจะทำได้ง่าย และปัญหาทางรูปด้านจะไม่ดู “ขัดเขิน” อย่างที่ตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่า ดูเหมือนซุ้มจรนัมจะเป็นของแปลกแยก ไม่เข้าพวก แน่นอนอีกแหละว่าปัญหาเกิดขึ้นอีกมากกว่านั้นคือพื้นผิวที่ซุ้มยื่นออกมา “แบบดื้อๆ” นั้นเป็นระนาบเอียงสอบ (พระธาตุเชิงชุมก็ประสบปัญหานี้) ซึ่งนอกจากจะสร้างความไม่ลงตัวของการออกแบบแล้ว (แต่ความลงตัว ก็ไม่ได้หมายถึงว่าดีเด่อะไรดอกนะครับ) การก่อสร้างก็ทำได้ยากและทิ้งร่องรอยของความเลอะเทอะไว้เป็นอนุสาวรีย์อยู่อย่างที่เห็นๆ กัน

    อย่างที่เอ่ยอ้างไปว่า ซุ้มจรนัมนั้นเป็นปัญหาเพราะอยู่ผิดที่ผิดทาง ผิดกาลแลเทศะ ถ้าจะขยายความต่อไปอีกให้เห็นว่าผิดจังๆ ก็จะพูดได้ว่า ปกติการวางซุ้มจรนัมนั้น ถ้าเราเคร่งระเบียบหน่อย ก็จะรู้ว่าซุ้มจรนัมนั้น เกิดจากองค์ประกอบของเสาตั้งตรงขึ้นไปรับหน้าจั่ว เนื่องเพราะเป็นองค์ประกอบเช่นนี้ พื้นที่รับเสาและตัวซุ้มจึงมักจะรับด้วย “หน้ากระดาน” ก่อน ก่อนที่จะเป็นบัวคว่ำ บัวหงาย ซึ่ง “บัว” เป็นองค์ประกอบที่อ่อน อันจะนำขึ้นไปรับเสาของซุ้มจรนัมนั้นมิได้ “มันขะลำ” แต่พระธาตุองค์นี้ใช้บัวรับเสาซุ้มจรนัม อย่างจังเลยกรั๊บ!

     

    สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็น SIGNATURE ของพระเอกของเรื่องอีกอย่างเสมอคือ การละเลยต่อภูมิทัศน์ หรือพื้นที่เชิงระนาบพื้นดิน พระธาตุองค์นี้ผุดขึ้นมาจากพื้นดินราวกับเห็ด หรือต้นไม้ OH ORGANIC ! หรือเปล่านี่ อาจจะใช่ก็ได้ แต่ข้าพเจ้าขอเชื่อขนมกินได้เลยว่าไม่ใช่ก็แล้วกัน—ขอโทษที—การสร้างพื้นที่พิเศษ หรือการสถาปนาเขต หรือสีมา (ไม่ได้หมายถึงใบเสมา นะ!!) ให้กับสิ่งศักดิ์สิทธินั้น นัยยะของการแบ่งแยกจะต้องชัดเจน พื้นที่ระดับโลกุตระ กับพื้นที่โลกียะจะซ้ำซ้อนกันมิได้ (ดู เสมอชัย พูลสุวรรณ : น. 113-123 ) ดังนั้นขอบเขตสีมาที่ชัดเจน เช่นกำแพงแก้ว หรือระเบียงคต มักถูกนำมาใช้แบ่งหรือแยกพื้นที่ทั้ง 2 ออกจากกัน แต่นัยยะแบบนี้ก็ไม่ปรากฏ *:--) อืมมม แล้วอะไรหล่ะ .. ที่ปรากฏ--- ไอ้นี่ครับ

    นอกจากนี้ เพราะการขาดการกำหนดพื้นที่ที่ชัดเจน เพื่อสร้างความหมายทางนามธรรมให้กับพระธาตุแล้ว ด้วยลักษณะ สมถะ, บึกบึน และมีพลัง ทำให้พระธาตุขนาดใหญ่ รูปร่างแปลกตา สีดำทะมึน องค์นี้ ในภาพไกลๆ นั้นมีความคล้าย ตอร์ปิโด หรือ จรวดต่างดาว มากกว่าพระธาตุที่ชาวอีสานเคยคุ้น เคยไหว้ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าตอนนี้ ชาวบ้านชินแล้วหรือยัง หรือเด็กรุ่นใหม่ รุ่นดาวเทียมไทยคม รุ่นคิดใหม่ ทำใหม่ ก็คงจะไหว้ได้ไม่ตะขิดตะขวงใจแล้วกระมัง เพราะครั้งเดียวที่ได้เห็นก็เมื่อปี 2537 โน้น ความ สมถะ, บึกบึน และมีพลัง ที่นำมาใช้นี้อาจจะยังไม่รัดกุมและอธิบายอะไรทั้งหมดยังไม่ได้กระมัง

     

  2. อุโบสถวัดศาลาลอย จ. นครราชสีมา : ถ้อยแถลงจากคนรุ่นใหม่ YOUNG BLOOD MANIFESTO

ี่คือมาสเตอร์พีส ที่เปิดพื้นที่และแจ้งเกิดให้กับพระเอกของเรา พ.ศ. 2516 (ขณะนั้นข้าพเจ้า ยัง…) หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและส่วนกลาง นิตยสาร สื่อต่างๆ วิทยุ (เวอร์ไปป่าวนิ…เอาพอให้เห็นภาพ อะนะ) ประโคมข่าวโบสถ์ประหลาดกันอึ่งมี่ๆ นักวิจารณ์ที่ว่าแน่ ไม่มีใครไม่อาจจะไม่เขียนถึง จนกระทั่งสมาคมสถาปนิกแห่งซาติขณะนั้น ไม่อาจจะนั่งอยู่เฉยได้ ต้องออกมาให้รางวัล (อาจจะกลัวว่า เด่วเขาจะหาว่า ไม่รู้ค่าของงานที่ซู๊ดยอดนี้ คงพอๆกับภาพที่ สมลักษณ์ คำสิงห์ กลับเมืองไทยพร้อมกับเหรียญทองโอลิมปิก แล้วใครต่อใครก็มามอบเงิน แจกของกันใหญ่ นัยๆว่า กลัวว่าเขาจะไม่รู้ว่าเรารักชาติ รักวีรบุรุษของซาติ หลายแค่ไหน!!) รางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นของประเทศนี้ก็แรกมี เพราะอาคารหลังนี้ … ดีเด่หลายบ่หล่ะ !!

 

วัดนี้ชื่อดี ชื่อวัดศาลาลอย ตามตำนานคุณหญิงโม หลังจากชนะศึกเจ้าอนุวงศ์ ต้องการจะสร้างวัดเป็นอนุสรณ์ คุณหญิงท่านได้เสี่ยงแพที่มีศาลา ลอยตามน้ำมา อธิษฐานว่า ถ้าติดฝั่งที่ใด จะสร้างวัดที่นั่น (โม้ไม่โม้ ก็ไม่รู้หล่ะ.. รู้แต่ว่า คุณหญิงโมเอง อาจจะไม่มีตัวตนก็ได้ อิอิ) ดังนั้นคำศาลาลอยจึงอยู่ “ในบริบท” และเป็นบริบทที่แรง “ตรงเผง” เสียด้วย เพราะไปกันได้ดีกับคติสำเภาโต้คลื่นสงสารวัฏฏะในไอเดียของพุทธศาสนา ไปกันได้ดีกับการนิยามของฐานอุโบสถให้ตกท้องสำเภาสมัยอยุธยา และเมืองราชสีมาก็เป็นเมืองหน้าด่านสมัยอยุธยา “เสียด้วย” ดังนั้นคำอธิบายทำนองนี้เราจึงพบเห็นได้ตามหน้านิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่อ้าว่ามาจากท่านผู้ออกแบบเอง

แต่ในที่นี้มาดูกันซัดๆ อีกทีดีกว่า (ดีกว่า ไม่ได้ดูงัย อย่ากวนจิ เธอ) ข้าพเจ้าอยากตอกย้ำเรื่องการวางผังอาคารที่พระเอกของเราออกแบบด้วยพิศดารกับผังโดยรวม อีกครั้งหนึ่งว่าเป็นการจัดผังที่มักก่อให้เกิดคำถามอยู่เนืองๆ โดยธรรมเนียมโบราณเรา งานศิลปกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม เป็นต้น โบราณท่านมักละเลยที่จะ “เล่น” กับปริมาตร ท่านจะเล่นกับเฉพาะ “รูปร่าง” หรือโครงเส้นของงานเท่านั้น ไม่เน้นความเป็นก้อน ทึบ มีเงา งานจิตรกรรมและพระพุทธรูป จะชัดเจน ส่วนสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะอาคารในวัด เราจะเห็นรูปด้านหน้า แบนๆ อย่างเดียว สังเกตว่า หน้าบันนั้นวิจิตรนัก ก็เพื่อการณ์นี้แล การเน้นรูปด้าน (หน้า) ก็เพื่อทำลายความเป็นก้อน และระยะลึกของอาคาร ลางท่านอาจจะเลยไปถึงว่า นี่เป็นมีนัยยะของความไร้ตัวตนในคติพุทธ ก็ว่ากันได้… แต่อุโบสถหลังนี้วางอาคารให้อุบาสกอุบาสิกาที่เข้ามาทางประตูหน้า (บอกไว้ก่อนว่า ผมไม่แน่ใจว่า มีการเปลี่ยนทางเข้าหลัก หรือไม่อย่างไร แต่อ้างจากปัจจุบันที่ไปประสบมา) ให้มองเห็นทั้งด้านสกัดและด้านแป เหมือน..เหมือนวิหารพาเธนอน THE PARTHENON ที่อโคโปริส ACROPOLIS อันลือชื่อของกรีกโบราณ “ยังไงยังงั้นเลย” จากการ APPAOCH ในลักษณะนี้ทำให้เวลาเราเดินเข้าไปหาอุโบสถ เราจะเดินอ้อมจากด้านหลังและค่อยๆ อ้อมมาด้านหน้าที่เป็นทางเข้า ซึ่งเมื่อมาถึงตำแหน่งนี้ เราก็จะมองเห็นอาคาร ครบทั้ง 4 ด้านโดยที่เดินเพียงครึ่งทางคือแค่ตัวแอล เพราะเราเห็นแล้ว 2 ด้านจากตอนเข้ามาตอนแรก ลูกเล่นแบบนี้ท่านจะพบได้เช่นเดียวกันกับ VILLA SAVOY ของ LE CORBUSIER หรือ CHURCH ON THE WATER ของ TADAO ANDO อ๋า !!! !..ทันสมัยไหมหล่ะ !!

 

อุโบสถหลังนี้จะต้องทำออกมาให้เป็นอีสานหรือเป็นอยุธยา ? เมื่ออยู่ “ในบริบท” ดังที่กล่าวมาแล้ว เข้าใจว่าจากคำสัมภาษณ์ตามนิตยสารที่เคยผ่านตามมา ท่านพระเอกจะทำออกมาในแบบอยุธยา บ่แม่นแบบสิมของอีสานบ้านเฮาเด๋ตั๊ว แต่ถ้าท่านมีหนังสือสิมอีสาน (ซึ่งผมเคยมี ซื้อเองด้วย แต่โชคร้าย มีคนยืมไปไม่ยอมคืน..ฮือๆๆ เสียดายอะ) หน้า 168 รูปสิมไม้วัดโพธิ์ราษฎร์สามัคคี จ.สุรินทร์ ก็จะพบลักษณะร่วมบางอย่าง ?? (หลังคา 2 ตับ ลดมุขหน้าหลัง ด้านหน้าเป็นโถงโปร่ง ตัวโหง่ พุ่งไปด้านหน้า แทนที่จะพุ่งชี้ฟ้า อย่างใครเขา) ของสิมสองวัด สองยุคนี้

ที่นี่เป็นที่แรก ดังนั้นการทดลองหลายอย่างจึงเกิดขึ้น การใช้หินล้างกับศาสนาคาร การใช้กระเบื้องดินเผากับการตีตราความเป็นอีสาน?? และ SIGNATURE การใช้ผนังภายในอุโบสถสีขาวหรือสีอ่อน กับพระพุทธรูปปูนปั้นสีอ่อน ?? ? เดิมโบราณท่าน พระพุทธรูปสีทอง จะลอยสง่าเหนือสภาวะใดๆ บนพื้นจิตรกรรมสีมืดคล้ำ ได้สภาวาวกาศ (สะ-พา-วา-วะ-กาด) น่าเลื่อมใสศรัทธา การใช้สีขาวสีอ่อน (การนิยาม ตีความว่า ความบริสุทธ์นั้น ไม่มีสี แบบธรรมกาย ??) ซึ่งมีคุณสมบัติของความใหม่ สภาวาวกาศน่าเลื่อมใสศรัทธาแบบสมัยใหม่นี้เป็นที่ต้องสงสัย และปกติวัสดุที่นำมาสร้างศาสนาสถานนั้นนอกจากจะเป็นวัสดุที่คงทน ถาวรแล้ว คำสัจจะแห่งวัสดุ หรือวัสดุที่ไม่ปรุงแต่งนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงก่อนเป็นอันดับต้นๆ เช่นหินทราย ศิลาแรง ที่ใช้สร้างปราสาทหิน ก็ชัดเจนในความถาวรและเห็นเนื้อแท้แห่งวัสดุ อาคารก่ออิฐและฉาบปูนของไทยก็เช่นกัน ปูนที่ฉาบขาวสะอ้านก็ชัดแจ้งอย่างดี และวัสดุเหล่านี้ก็ถูกจำกัดในการใช้กับพื้นทีเฉพาะ (ดูเรื่องพื้นที่ ในอ้าง 1) ไม่ใช่ใช้อย่างทั่วไป แต่หินล้างนั้นตรงข้าม มักจะถูกใช้โดยทั่วไปโดยมาก แต่ไม่นิยมใช้กับอาคารทางศาสนา และก็เป็นวัสดุประกอบ กันของหินหลากสี หลายขนาด และปูนซึ่งเป็นตัวกลาง ก็ปรุงแต่งเหลือเกิน ช่องเปิดของอาคารนี้นอกจากจะเป็นหน้าต่างกระจกใสที่ทันสมัยแล้วยังใช้กรอบอลูมิเนียมสีเงินยวงด้วยแหละตัวเอง ทำให้อดนึกถึงเซเว่นอีเลเว่น (7-11) ขึ้นมา แทนที่จะสงบใจนึกถึงอะไรที่ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ !! วัสดุกับ “ในบริบท” นั้นคงต้องถี่ถ้วนให้มากๆ นักนะเธอ ส่วนเรื่องกระเบื้องดินเผาและ SIGNATURE ขอไม่กล่าวถึง

3. อาคารกรรมาธิการสถาปนิกอีสาน หรือ “สิม” : มิติซ่อนเร้น ของเล่นใหม่ HIDDEN DIMENTION PLAYING

อาคารนี้ลือกันว่า (ไม่รู้แหล่งข่าว) ถูกสร้างให้เป็น OFFICE ของกรรมาธิการสถาปนิกอีสาน แต่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม. ขอนแก่น ขอใช้เป็นห้องเรียน ห้องพักอาจารย์และสตูดิโอ ของนักศึกษารุ่นแรกๆ และต่อมาเมื่อคณะฯ ได้อาคารเรียนและสำนักงาน สตูดิโอใหม่ อาคารหลังนี้จึงถูกทิ้ง และถูกท้าทายด้วยกิจกรรมใหม่ๆ เช่นจัดนิทรรศการบ้าง ปัจฉิมนิเทศบ้าง เชียร์น้องใหม่บ้าง และเป็นที่เก็บของด้วย และปัจจุบันก็เป็นที่ทำงานครั้งสุดท้ายของผู้ออกแบบเอง พร้อมกับการตกแต่งภายในแบบใหม่

อาคารหลังนี้ ไม่รู้ใครเริ่มต้นตั้งชื่อเล่นว่า “สิม” ก่อนเป็นอันดับแรกๆ ข้าพเจ้าไม่อาจจะหาข้อมูลได้ ใครรู้ก็ช่วยเผยด้วย ปัญหาที่อยากกล่าวถึงเรื่องชื่อก็คือว่า เป็นเพราะอาคารถูกออกแบบให้เป็น / คล้าย / มีแรงบันดาลใจ / GRAFT / กุ / TRACE / MAP / IMPROVISE มาจากอาคารสิมพื้นบ้านหรือเปล่า หรือว่าเป็นการตั้งชื่อเล่นให้ดูเป็นพื้นบ้าน เหมือนกวีดังๆ หรือศิลปินหย่ายๆ มักตั้งชื่อลูกให้พื้นพื้น บ้านๆ เข้าไว้นัยว่าตัวไม่ได้เกร่อ หรือโหลเหมือนใครๆ ที่จะตั้งชื่อลูกว่า โจ, ก้อง, เอก, สันติ, หนุ่ม อะไรทำนองนี้ แต่ต้องเป็น ไอข้าว, กลิ่นฟาง, หญ้าขจี, สายปอ ฟังดูคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นควายสาบโคลน? จึงได้ชื่อว่า สิม หรือไฉน

ในกรณีแรก ข้าพเจ้าได้ลองค้นดูว่า จะมีสิมพื้นบ้านอีสานหลังไหนหนอจะทำหน้าที่ใน กรณีแรกได้ พบว่ามีความเป็นไปได้อยู่ 1 หลัง ท่านที่มีหนังสือสิมอีสานโปรดพลิกไปที่หน้า 102-105 สิมวัดโพธิ์ชัยเสมาราม จ. กาฬสินธ์ (ท่านที่ไม่มี ก็หาซื้อเสียนะ เด่วพิมพ์ใหม่ จะแพงขึ้นไปอีกนะ) ประมาณปี 2530-31 กระมังที่อาคารหลังนี้ถูกสร้าง ซึ่งก็ห่างจาก โบสถ์วัดศาลาลอย นานโข นานพอดูทีเดียว 15-16 ปีเชียว ถ้าเป็นสาวๆ ก็วัยกำลังงามเชียวหล่ะ แต่…ที่นี่ไม่มีหินล้าง ที่นี่ไม่มีกระเบื้องดินเผา แปลกไหมครับ ยังไม่หมด อาคารหลังนี้กลับไปหาขนบแบบโบราณ คือแม้ว่าจะอยู่บนเนิน (หรือเพราะว่าอยู่บนเนิน?) อาคารหลังนี้ถูกออกแบบให้มองรูปด้าน และโดยเฉพาะรูปด้านหน้าเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ครับ !! ! ซึ่งเป็นการ APPOACH ที่การต่างจากที่พระเอกของผมเคยทำ คำถามคือทำไม คำตอบคือ จะไปรู้เหรอ ไปถามแกเองเด่ะ ! แม้ว่าเค้าจะกลับมาใช้ขนบแบบรูปด้านซึ่งเป็นแบบเก่า แต่เขาก็ยังใช้วิธีการแบบใหม่แบบเดิมของเขาคือการทำให้เกิดมิติ ในขณะที่ TRADITONALISM ทำลายมิติ ไม่ให้เหลือตัวตน เหลือเพียงโครงร่าง MODERNISM ทำสิ่งที่ไร้มิติ ไร้ตัวตนให้เกิด มิติ รูปร่าง รูปทรงที่สมจริง ขณะที่ข้าพเจ้าเกือบจะเชื่อเสียสนิทใจว่า เขากลับไปหาอดีต อย่างพ่ายแพ้ แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นจั่วลายตาเวนเข้า ก็ได้แจ่มและแจ๋มในบัดดล ลายตาเวนเดิมที่อยู่หน้าจั่วแบนๆ เป็นแฉกรัศมีฉายแสงออก ถูกนำมายืดออกให้เกิดมิติในรูปด้าน ข้าง หรือ 3 มิติ แต่ถ้าดูด้านหน้า จะไม่เห็นว่าแปลกไป หรือใหม่ที่ไหน ดีเด็ดไหมหล่ะ ลูกเล่นใหม่ของเขาหล่ะ

อาคารนี้ไม่อยากจะติมากไปกว่านี้ เด่วโดนรุมสกัม ก็รู้ๆอยู่ว่าพวกขอนแก่น เถื่อนแค่ไหน … (พวกไหนอะ พูดงี้ก็สวยเด่)

 

 

4. หอศิลปะและวัฒนธรรม ม. ขอนแก่น : เดิร์นนัว ‘DERN ‘N NOIR

อาคารผงาดขึ้นเคียงข้างกับ ICON ใหม่ ของมอขอ ที่เป็นหอประชุม (ไม่เชื่อดูที่เวปมอจิ www.kku.ac.th) หลังคากระดองเต่าสีเหลือง วิวาทะกรรมกันระหว่างการสร้างสถาปัตยกรรมร่วมสมัยหรืออีสานเดิร์น ว่าใครจะ “เดริ์นนัว” กว่ากัน เป็นการชกกันระหว่างเต่าเหลือง กับ เล้าข้าวนุ่งผ้าลายขิด แต่ก็ดูเหมือนว่า ฝ่ายแรกจะมีชัย เพราะโรแมนติกกว่ากันเยอะ หนุ่มสาวคู่ ไหนๆ ก็มักจะอาศัยฉากสีเหลืองทองเป็นพื้นของรูปถ่ายและการพร่ำพรอดของเขาและเธอมากกว่า หรือลองนึกดูว่าภาพของ เพรียส บอสแนนต์ ที่ได้เดินผ่าน Guggenheim museum ที่ biboa ในหนัง 007 ตอนล่าสุด แต่เปลี่ยนมาเดินลงบันไดด้านหน้าเต่าเหลืองนี้แทน ก็เท่ พอแทนกันได้ เชื่อปะ … เจื่อเตอะ ผมทำมาแล้ว เท่มากๆๆๆๆ (สงวนลิขสิทธ์ ให้เลียนแบบได้ แต่ต้องบอกว่ามาจากเรานะ อิอิ) แต่ถ้าเปลี่ยนมาเดินผ่าน หอศิลป์ฯ นี้ ภาพที่ออกมาคงคล้ายๆ กับโจวหยุ่นฟะ เดินอาดๆ ในท้องพระโรงพระที่นั่งดุสิตฯ ในหนัง ANNA AND THE KING แหมๆ (อ่านว่า แหม HAM ไม่ใช่ แหม MAE) แล้ว แต่จะไม่เท่หนะ จะตลกฮาๆ แทน เพราะมันจะขัดๆ “ในบริบท”

มีเพื่อนบอกว่า SPACE ตรงบันใดสวย อืมม ก็สวยดี แต่มองไม่เห็นอะไร นอกจากบันได ข้าพเจ้าว่า สำหรับหอศิลป์ พื้นที่สวยๆ ต้องมีใช่ที่นี่มี แต่พื้นที่สวยที่ว่านั้น ต้องท้าทายและเอื้อ ต่อการถูกนำมาใช้ในการจัดแสดงนิทรรศการ แต่..ที่นี่ทำได้ยาก จนถึงทำไม่ได้เลย แต่ข้าพเจ้าไม่อยากนำประเด็นเรื่องการใช้สอยมาพูดถึง เพราะข้าพเจ้าไม่เห็นว่าเป็นสาระอันใด เพราะปรับเปลี่ยน เรียนรู้ แก้ไขได้ ในที่นี้จะขอพูดเรื่อง “อีสานเดิร์นนัวนัว” เต็มๆ จะบันเทิงกว่า

จำได้ว่า เวลาไปสำรวจ / เดินดู / รังวัด / เที่ยว / เตร่ / ฮันนีมูน / ทัศนศึกษา (แล้วแต่ใครจะไปด้วยเจตนาอะไร) หมู่บ้านพื้นบ้านอีสาน ภาพที่ประทับใจเสมอๆ มาคือกลุ่มอาคาร การจัดพื้นที่ระหว่าง เอือนใหญ่ ที่จะหลังใหญ่สมชื่อ มีซานแดดที่เป็นพื้นที่แนวนอนเชื่อมระหว่างเฮือน และเปิดสู่ท้องฟ้า มองดูดวงดาวได้ มีเฮือนไฟที่จะหลังย่อมกว่าเฮือนใหญ่ จังหวะของรูปทรง จะล้อกันและเล่นกันได้สัดส่วน (ผมเข้าใจสัดส่วนสัมพันธ์ ก็จากเฮือนๆ เหล่านี้เอง) นอกจากนั้นยังมี "ซานแดดเสมือน" ก็คือลานบ้าน ทำหน้าที่เชื่อม กลุ่มของเฮือน กับเล้าข้าว และกลุ่มเฮือนหลังอื่นๆ ซึ่งสัดส่วนจังหวะก็จะ สัมพันธ์กัน ในเชิงความรู้สึกด้วยสายตา เพราะยังหาใครจะสรุปออกมาเป็นสัดส่วนทองแบบอีสาน (GLODEN SECTION) ยังมิได้ ซึ่งหมายความว่าอาจจะไม่จริงก็ได้ แต่ผมรู้สึกแบบนี้ครับ และวันก่อนมีโอกาสไปเยือนหอศิลป์แห่งนี้อีกครั้ง งานที่แสดงคืองาน มองอีสานผ่านเลนส์ ของผู้ออกแบบอาคารหลังนี้ ซึ่งก็คือพระเอกของเรานี่เอง (อาคารของแก จัดแสดงนิทรรศการได้ นัวแซ่บหรือไม่แซ่บ แกก็คงจะได้ซึ้ง ก็ครานี้) ในรูปที่นำมาแสดงนั้นมีอยู่ 2-3 รูปที่จับใจผม เป็นรูปเฮือนอีสาน ซึ่งยิ่งได้มองผ่านเลนส์ของแก ก็ยิ่งชัดในสิ่งที่ผมพูดไป เพราะในรูปจะมี ต้นไผ่เป็น FOREGROUND หมู่เฮือนใหญ่เป็น MIDDLEGROUND ท้องฟ้าขาวเป็น BACKGROUD ทั้ง 3 ชั้นของ GROUND มีความลึกหรือมีการถ่ายทอดจังหวะได้ดี โดยเฉพาะตัวเรือนใหญ่ เราจะมองเห็น ห้างแอ่งน้ำอยู่ด้านหน้าสุดซึ่งจะหยุดสายตา ต่อเนื่องกับพื้นที่แนวราบของพื้นซานเกยของเฮือน ทับด้วยระนาบหลังคาเกยลาดเอียง ก่อนที่จะเป็นลาดชันที่มากขึ้นเมื่อถึงระนาบของหลังคาเฮือนใหญ่ และในแนวเดียวกัน เว้นช่องว่างพองาม จะเห็นยอดของหลังคาเฮือนไฟอยู่ด้านหลัง ซึ่งจะทำให้ เฮือนใหญ่ไม่ลอยอยู่โดดๆ ตู้มตู้ม แต่มีองค์ประกอบรอง ช่วยเสริมและส่ง สอดคล้องกับองค์ประกอบหลัก สร้างภาพรวมที่มีลีลา และข้าพเจ้าก็คิดว่าลักษณะเช่นนี้นี่เอง ที่เราหาไม่พบในเต่าเหลือง (คนออกแบบ เขาว่าเป็น เกวียนตะหาก) ตัวเอ้ข้างๆ กันนั้น

การทำอะไรแบบสมัยใหม่ ไม่ใช่แค่หมายความว่าทำให้ง่ายขึ้น ดูง่ายขึ้น ประณีตน้อยลง ทำให้ดูแข็งๆ แทนค่าด้วยรูปทรงเรขาคณิต แล้วเราจะได้อะไรที่สมัยใหม่ ไม่จริงหรอกครับ การทำอะไรแบบสมัยใหม่คือการใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยี ความรู้ ความเข้าใจใหม่ ที่เพิ่มเติมสิ่งที่ไม่รู้ ไม่เคยทำได้ในอดีตในการตอบสนอง (โต้ตอบ) สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะไปกำหนดและกำกับความเป็นไปได้อีกทีหนึ่งต่างหาก ดังนั้นการกระทำดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการย่ำยีมากกว่า คงต้องอาศัยการค้นคว้าที่จริงจังมากกว่านี้ ก่อนที่จะสรุปให้ง่ายขึ้น ดังว่า

อาคารแบบความคิดสมัยใหม่นั้น มี 2 กระแส กระแสแรกคือ ทำอาคารให้แปลกแยกจากบริเวณข้างเคียง ซึ่งเต่าเหลือง เป็นตัวอย่างที่ชัด และกระแสที่สองคือทำอาคารให้หายไป ลบขอบเขตที่ชัดเจนของอาคารออกทิ้งไปเสีย ทำให้อาคารได้ขอบเขตใหม่ที่ ไร้นิยาม ไม่จำกัด อาคารเฮือนอีสาน ดังที่ได้บรรยายไปแต่แรกนั้นเป็นตัวอย่างการลบขอบเขต หรือตัวตนของอาคารออกไปวิธีหนึ่ง แต่ผมจัดให้อาคารหลังนี้อยู่ประเภทไหนไม่ได้อย่างถนัดใจเลย และอาคารนี้ผู้ออกแบบก็ไม่ได้รู้สึกหรือคิดแบบข้าพเจ้า อาคารนี้ถูกยกมาเพียง เล้าข้าวหลังเดียวโดดๆ นัยยะว่า มหาวิทยาลัย หรือตึกอธิการเป็นเฮือนใหญ่ ส่วนทุ่งบึงสีฐานนั้นเป็น สวนครัว เพราะมีทั้งเหล้าข้าว และเกวียน จอดอยู่ใกล้ๆ กัน

 

 

ส่งท้าย : รู้หรือยังว่า โพลงกระต่ายนั้นลึกแค่ไหน IN WONDERLAND, HOW DEEP THE RABBIT-HOLE GOES

ที่พร่ำมาเสียยืดยาว ข้าพเจ้าก็ว่าไปตามความคิดความเห็นอย่างหนึ่ง (เป็นความคิดสมัยยังเรียนอยู่ แต่ตอนนี้คิดเป็นอื่นไปแล้ว ถ้ามีโอกาส อาจจะได้เจอกันอีก :)) แต่พยายามอ้างอิงข้อมูลให้ดูน่าเชื่อเถืออย่างมากๆๆ พยายามจัดแจงชี้แนะ วิเคราะห์ แยกย่อย จนบางทีท่านอาจจะมองไม่เห็นชิ้นดีเลยก็เป็นไปได้ แต่ที่เขียนมาทั้งหมด ข้าพเจ้าก็อยากจะขาย “ชิ้นดี” ที่ว่านี้แหละ หลายอย่างที่กล่าวไปล้วนเหมือนเป็นด้านมืด ด้านลบเสียมาก มากกว่าจะชวนชมและชวนเชื่อว่าน่ากิน แต่ก็อย่างว่าและครับ อะไรที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าพรมแดนของความรู้และความสามารถรับรู้ของเราได้นั้น มันก็มักจะไม่สามารถเข้าถึง เข้าใจได้ด้วยการวิเคราะห์ แยกย่อย เช่นนี้ได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ข้าพเจ้าขออ้างมาในที่นี้ว่า ทำไมงานของเขาผู้นี้จึงมีพลังแฝงที่ยิ่งใหญ่ที่เกินกว่าที่ความเรียงนี้จะสามารถนำเสนอได้ มันเป็นความยิ่งใหญ่อย่างเดียวกันกับ ทำไมโบสถ์ที่รองชอง ของ เลอ คอร์บูซิเอ เพราะอยู่ตรงนั้นเลยเปี่ยมพลัง หรือบ้านพักตากอากาศ ที่ฟรานเวอส ของมีส แวน เดอโรห์ จึงเฉิดฉัน อาศัยการตีความ จะหาได้อะไร หากไม่ประจักษ์ซึ่งความสะเทือนใจประทับจิต no others interpretation can replace that wonderful impression

 

มาถึงตรงนี้คงอยากรู้ว่าเขาคนนั้นที่เขียนถึงมาตั้งนานนี้เป็นใครกันแน่ บางคนว่าเป็น คนนั้น คนนี้ แต่ยังไม่เแลยหรอกครับ แต่จะใบ้ให้นิดก็ได้ว่า อักษรย่อชื่อว่า ว. เขาเกิดมาเพื่อ เมียตุภูมิ (ฮา)

ถาม - ตอบ ข้อเท็จจริงบางประการ FAQ & A

ถาม – มีคนเคยถามไว้ในที่สาธารณะแห่งหนึ่งว่า ทำไม อาจารย์ ว. คนนี้จึงต้องหันไปหาของเก่าด้วย

ตอบ – คนนี้ไม่ได้หันไปหาอดีตเลย แต่ตรงกันข้ามเสียอีก เขากลับเป็น โมเดิร์นนิสต์ตัวกลั่นเชียวหล่ะ อ่าน ข้อ 1 และข้อ 2 ของบทความข้างต้น เมื่อเข้าใจแล้วก็คงเข้าใจเขามากขึ้น

ถาม – เขาเป็นครูที่สอน อืมม อาจจะบอกว่า ไม่ได้สอนอะไรเลย! เอาแต่ด่า กับฉายไสลด์ พูดถึงอีเสงี่ยม? และก็ไล่ไปกินลูกเหม็น

ตอบ – เมื่อเรียนวิชาพื้นฐานการออกแบบ, วิชาสถาปัตยกรรมไทย และวิชาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น กับเขาคนนี้ ผมก็เคยสรุปเอาง่ายๆว่า ไม่เห็นรู้อะไรเลย (ว่ะ) วิธีการสอนของเขาคือ สั่งงานให้ไปทำ แล้วเอามาวิจารณ์ มาด่า บางทีก็ด่ามาในงานเสร็จสรรพง่ายๆ ห้วนๆ ชัดเจนว่า จัญไร, อัปรีย์, อุบาทว์, โมฆะบุรุษ ฯลฯ ก็สุดแสนแต่อารมณ์ว่าท่านจะบรรเจิดกับงานของเราๆ มากน้อยแค่ไหน แล้วตามด้วย F ที่ไม่ได้หมายถึง FANTASTIC แต่หมายถึง FAIL … ก็ทำไมอาจารย์ไม่บอกหล่ะว่า ให้ทำอาคารสัดส่วนเท่านั้นเท่านี้ เส้นนอน 4 ส่วน เส้นตั้ง 5 ส่วน ชัดๆ มาเลย (หลายคนคิด) ทำไมต้องให้มามั่วๆ ให้ถูกด่าด้วย เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ หลายคนใช้วิธียืมงานรุ่นพี่ที่เจ๋งๆ มาศึกษา มารังวัด แล้วก็บรรลุ กันถ้วนทั่ว ผ่านกันเป็นทิวแถว แต่ก็มีบางส่วนที่หน้าด้านดันทุรัง มั่วต่อไป จนบรรลุขั้นเกินกว่าคำ จัญไร, อัปรีย์, อุบาทว์, โมฆะบุรุษ จะเอาอยู่ คงต้องเติมคำ อภิ นำหน้าอีกชั้น ----- แต่รู้ไหมครับ ผมว่าสอนแบบนี้กลับสนุกพิลึก มันสนุกเหมือนกับ ครูที่สอนให้ก่ออิฐ ด้วยการลองก่อเองเลย ก่อเสร็จ ท่านก็มาจิ้ม ล้มหรือไม่ล้ม ล้มก็ก่อใหม่ ใช้วิธีเรียงอิฐแบบใหม่ แล้วครูก็มาจิ้ม แล้วก็ด่า ให้ลองก่อใหม่ ก่อใหม่ ก่อใหม่ ก่อใหม่ …. แล้วเราก็จะรู้เองในที่สุดว่า ก่อแบบไหนถูกใจเราที่สุด (เหมาะเหม็ง) ไม่ใช่ถูกใจครูและก็ไม่ใช่ถูกต้องกับอะไรสักอย่างตามมาตรฐานด้วย ถ้าครูที่ไหนไม่สอนให้นักเรียนให้ได้รู้จักความเหมาะเหม็ง รู้จักแต่ถูกต้องมาตรฐาน ก็น่าอนาถใจเหลือหลายแน่ครับ และแน่นอนที่นี่ไม่เคยน่าอนาถแบบที่ว่า แต่ต่อไปไม่แน่เหมือนกัน อันนี้ก็ไม่รู้อะครับ..

ถาม – แล้วเขาเข้าวงการได้ยังไง ใครชักนำ

ตอบ – อ๋อ…. พอดีเพื่อนของเพื่อน เค้ารู้จักแมวมอง แล้วก็เลยมาลองเทสดู----ม่ายช่าย

ถาม – ได้ข่าวว่า เขาเป็นโรคจิตหรือ ทำไมต้องอยากอ่านไดอารี่นักเรียนด้วย

ตอบ – เขาเป็นครูคนหนึ่งที่ไม่กระล่อนนะ (ยืม สำนวนของคุณสุลักษณ์เขา) แต่เป็นโรคจิตหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ (แฮะ) ครูคนอื่นอาจจะเน้นให้นักเรียนรักการอ่าน อ่านให้มากเข้าไว้ แต่.. เขาสอนให้นักเรียนรักการเขียน (เขียนในที่นี้รวมความทั้งเขียนตัวหนังสือและเขียนลายเส้นด้วย) นอกจากสอนแล้วก็ยังทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำให้ดู ทำให้เห็นไม่พูดปาวๆ อย่างเดียว เขาสอนว่าการเขียนช่วยทบทวนความคิด ช่วยฝึกการพูดกับกระดาษ ทำให้พูดรู้เรื่องขึ้น รู้จักลำดับเรื่องที่จะพูด และยังเสริมสร้างจินตนาการด้วย “ฉับพลันโคลงกลอน” ของเขาเป็นตัวอย่าง ของการเป็น ผู้ฝึกผู้เขียนมามาก มาดี มติชนก็ยังเอาไปพิมพ์เลย สำนวนคารมเขาก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับ ’ปรายพันแสง เชียวหล่ะเหว๋ย ดังนั้นการให้ส่งไดอารี ก็ไม่ต่างกับการส่งงาน SKETCH DESIGN อื่นๆ เลย

ถาม – เขาคิดว่าแน่นักหรือ จึงอ้างเป็นผู้รู้เรื่องอีสาน

ตอบ – ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่า เขาได้อ้างดังว่าหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่ๆ แหละว่า เขาแน่มาก คนหนึ่งล่ะกัน เขาเคยบ่น แล้วเราแอบได้ยินมาอีกที อิอิ (กิตติศัพท์หู เราขนาดไหน หุหุ ไม่อยาก “เซด”) เขาพูดว่า เขานี่ก็ไม่ได้ถือว่าตัวเก่งอะไรหรอก ที่เขาทำๆ อยู่นี่ “ก็ด้วยปัญญามันมีแค่นี้ เท่าที่ทำได้ จะด้วยเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ได้ แต่ก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว แค่นี้ ก็ไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย จึงเป็นได้แค่ผู้รวบรวม กลัวว่าถ้าไม่รวบรวมเก็บข้อมูลไว้ก่อน รอแต่ผู้ฉลาดๆ มาศึกษาเดี๋ยวมันจะไม่ทันการณ์ คนฉลาดน้อยอย่างเรา ก็คงจะวิเคราะห์ พิสูจน์ ออกมาเป็นหลักการณ์ เป็น PRINCIPLE เป็นข้อๆ ไม่ได้ หรือใช้ภาษาฝรั่งมากไม่ได้ “ลิ้นมันแฉ็ง !! ” เราก็เพียงแต่รวบรวม ถ่ายรูป สเกตรูป แต่งกลอน ซาบซึ้งความงามแบบซื่อ ตามประสาคนฉลาดน้อยซื่อๆ แบบเรา จะให้เป็นอย่างอื่นคงทำให้ไม่ได้ (ว่ะ)”

ถาม – ถ้ามีโอกาส เขาจะเล่นการเมืองไหม และสุดท้ายมีอะไรจะฝากแก่ท่านผู้อ่านทางบ้านไหม

 

ตอบ – อืมม …คำถามยากจัง พอดีแกมีหุ้นในบริษัทกระเบื้องกินเผาด่านเกวียนเยอะ จะผ่องถ่ายให้ลูกชายก็เกินวิสัยชายชาติเสืออย่างแก คงยังทำใจเรื่องนี้ไม่ได้ และอยากให้ท่านผู้อ่านช่วยซื้อหนังสือ มองอีสานผ่านเลนส์ ด้วย เล่มละ 200 บาทเอง (มีคนกระซิบว่า) มีสองเนื้อกระดาษให้เลือก แต่ผู้แต่งแนะนำว่าเนื้อกระดาษปอนส์รูปมันนวลกว่า

 

 

 

(เสมอชัย พูลสุวรรณ “เรือนร่าง” ในงานจิตรกรรมไทยประเพณี อ้างใน “เผยร่าง-พรางกาย” ทดลองมองร่างกายในศาสนา ปรัชญาการเมือง ประวัติศาสตร์ ศิลป และมานุษยวิทยา. ปริตตา เแลิมเผ่า กออนันตกูล บรรณาธิการ, กรุงเทพฯ : คบไฟ, 2541) ซึ่งอธิบายถึงร่างกายที่เป็นเหมือนพื้นที่ๆ หนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ ที่มีเงื่อนไข หรือโครงสร้างที่กำกับคุณค่าอยู่ เช่นภาพจิตรกรรมของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกจะอยู่ในร่างที่เป็นทิพย์ คือไม่ใช่ร่างที่ตั้งอยู่ในความเสื่อมตามวิสัยโลกีย์ จะไม่มีรูปลักษณ์แก่ชราภาพเหมือนกับพวกเดียรถีย์ และเงื่อนไขเช่นนี้กำกับให้ร่างบริสุทธ์เช่นนี้จะไม่ปรากฏในพื้นที่หรือภูมิที่ไม่บริสุทธ์ เราจะไม่พบพระพุทธเจ้าในพื้นที่เดียวกับเปรต อสูรกาย หรืออบายภูมิ หรือกรณีพระมาลัย ที่เป็นอรหันต์เสด็จโปรดอบายภูมิ จิตรกรก็นำเส้นสินเทามาแบ่งระหว่างพื้นที่ของท่าน กับพื้นที่อบายภูมิ ดังนั้นพื้นที่หยาบกับพื้นที่ละเอียดจึงกำหนดและกำกับร่างกายหยาบและร่างกายละเอียดด้วย


Date: Thu, 31 Aug 2000 00:59:00 -0700 (PDT)

From: tanin tumthaisakorn <goodtanin@yahoo.com>

Subject: JavaScript Edition

"จาวาสคริปท์ JavaScript" เพิ่มลูกเล่นให้เว็บคุณได้ภายใน 5 นาที

เป็นภาษาที่ใช้ผนวกกับ html เพื่อเพิ่มลูกเล่นและความน่าสนใจ

ให้กับเว็บเพจ ถูกพัฒนาโดยNetscape ในระยะแรกใช้ชื่อว่า

LiveScript ต่อมาในปี2538จึงเปลี่ยนเป็นจาวาสคริปท์JavaScript

ซึ่งออกมาพร้อมๆกับNetscapeNavigator 2.0......

จาวาสคริปท์ มีลักษณะคล้ายกับภาษาC เป็นภาษาที่ทำงานบนไคลเอนท์

หรือเรียกได้ว่า ไคลเอนท์ ไซด์ สคริปท์[Client Side script]ซึ่งก็คือ

การทำงานบนบราวเซอร์ของเครื่องผู้ใช้นั่นเอง สามารถรันได้บน

บราวเซอร์ IE 4.0 และ Netscape 2.0 ขึ้นไป......

มีลูกเล่นหลายแบบให้เลือก การใช้งานก็ง่ายคือสามารถฝังไว้ในHTML

codeของเว็บเพจได้เลย จะแบ่งเป็นแบบที่ต้องฝังไว้ใต้<head>

และแบบที่ต้องฝังไว้ใน<body> มีหลายลูกเล่น......

ที่ผมนำมาฝากสมาชิกชมรมในวันนี้ คือสคริปท์ที่เรียกว่า GREETING Script!

เป็นสคริปท์ที่ใช้กล่าวสวัสดี แก่ผู้เข้าใช้เว็บเพจนั้นๆ

สามารถกล่าวทักทายได้ตาม

เวลา เช่น GOOD MORNING......มันจะทำงาน

เมือผู้ใช้เรียกเว็บเพจนั้นๆขึ้นมา

ก็จะปรากฏ วินโดว์ ให้กรอกชื่อ

แล้วสคริปท์จะผลิตตัวอักษรทักทายโดยอัตโนมัติ

สามารถดูตัวอย่างได้ที่ http://archkku.hypermart.net

ซึ่งก็คือเว็บชมรมศิษย์

เก่าเรานี่เอง

วิธีการสร้างสคริปท์นี้มีดังนี้...

นำสคริปท์นี้ ไปฝังไว้ใต้แทค<body>ในเว็บเพจหนาแรกของเรา...

<script language="JavaScript">

<!--

var name=prompt("Enter Your Name, Please.","name");

var today = new Date ()

var hrs = today.getHours();

document.writeln("<b><font size=4 color=white face='Comic Sans MS'>");

document.writeln("<b>");

if (hrs <= 12)

document.write("Good Morning "+name+'!');

else if (hrs <= 18)

document.write("Good Afternoon "+name+'!');

else

document.write("Good Evening "+name+'!');

document.writeln("<br>");

// -->

</script>

เป็นอันเสร็จ.....

สามารถดูสคริปท์และดาวน์โหลดสคริปท์อื่นๆได้ที่ http://www.wsabstract.com

ซึ่งแจกสคริปท์ฟรี

ลองทำดูนะครับ แล้วพบกันฉบับหน้า

A+8[WebWalker] email:goodtanin@yahoo.com

 

ข่าวประชาสัมพันธ์ ขอความกรุณาสมาชิกชมรมผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทุกท่านครับ

 

สวัสดีครับ

มีเรื่องขอความกรุณา สมาชิกชมรมทุกท่าน2เรื่องครับ

1.ขอความกรุณาสมาชิกชมรมศิษย์เก่า ที่มีอินเตอร์เน็ต กรุณาตั้ง

Home Default ใน Brownser Internet Explorer หรือ Netscape Navigator ให้เป็น www.thai.net/archkku

เพราะเราจะเริ่มนับ ความถี่ในการเข้าใช้เวบ เพื่อเก็บสถิติครับ

วิธีการทำอย่างง่ายครับ ก็คือ

-1.1เข้ามาที่ www.thai.net/archkku

-1.2 ถ้าใช้ IE กรุณากดที่ เมนูToolsด้านบนของหน้าจอนะครับ แล้วเข้าไปที่ Internet option ในส่วนของhomepage กดตรงUse current แล้ว Apply เป็นอันเสร็จครับ

-1.3 ถ้าใช้ Netscape ให้กด Edit -Preference

แล้วเข้าไปที่ช่องLocation กดตรงUse current page ก็เป็นอันเสร็จครับ

2.เวบชมรมศิษย์เก่า จะตัดให้เหลือเพียงแค่ HOST ของ www.thai.net/archkku เพียงHostเดียว เพื่อขจัดปัญหาเรื่องBannerที่รกตาของ Hypermart ครับ

ขอความกรุณาด้วยนะครับ

รักและเคารพ

เอ๋8

จาก : Vice-WebMonster - Email: tanin@mail.emedia.co.th - 11/09/2000 09:50


ชมรมศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตู้ ปณ 18 ปณฝ.ศึกษาธิการ กรุงเทพฯ 10304 / ตู้ ปณ 69 ปณฝ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขอนแก่น 40002 ประธานชมรม สิริลักษณ์ แสง-ชูโต บรรณาธิการ ธวัช เจริญวุฒิธรรม บัญชีชมรม ชื่อบัญชี น.ส.อนงค์ทิพย์ โตวาณิชกุล บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขา เทเวศร์ เลขที่บัญชี 020-2-48809-6

www.archkku.org

Back home | Back to top